ประเทศไทย 4.0 แก้ปัญหานี้ได้ ส่งของห้ามวางบิล ขับรถไปรับเช็คแทนการโอนเงิน รถไปติดบนถนน ก็ไกล้ประเทศไทย3.9999 แล้ว
การซื้อขายสินค้าแบบเครดิตระหว่างบริษัทกับบริษัท (B2B) นั้นมีธรรมเนียมปฏิบัติอยู่อย่างหนึ่งที่เรียกว่า การวางบิล…
การวางบิล หมายถึง เมื่อจบเดือน ซัพพลายเออร์จะต้องรวบรวมรายการสั่งของที่เกิดขึ้นทั้งหมดในเดือนนั้นใส่ใบแจ้งหนี้แล้วนำไปแจ้งหนี้นั้นมายื่นให้กับฝ่ายบัญชีของบริษัทผู้ซื้อสินค้าเพื่อขอเก็บเงินสด ซึ่งบริษัทจะจ่ายเงินสดให้หลังจากวางบิลแล้วกี่วันก็แล้วแต่ตกลงกันไว้ว่าจะให้เครดิตกันกี่วัน
สมัยก่อนนี้ การวางบิลเป็นกลวิธีอย่างหนึ่งที่บริษัทใช้ดึงเงินซัพพลายเออร์ การออกกฏเกณฑ์ของการวางบิลให้ยุ่งยากเข้าไว้ช่วยทำให้ซัพพลายเออร์วางบิลไม่สำเร็จ ทำให้บริษัทมีข้ออ้างในการดึงเงินของซัพพลายเออร์ออกไปได้อีกหนึ่งรอบบิล กระแสเงินสดของบริษัทจึงดีขึ้น บางบริษัทออกกฏบ้ามากๆ อย่างเช่น ในแต่ละเดือน วันที่รับวางบิลจะไม่เหมือนกันเลย แถมยังแบ่งออกเป็นช่วงเช้าหรือช่วงบ่ายอีกด้วย ซัพพลายเออร์ส่วนหนึ่งที่วางบิลไม่ทันก็จะถูกดึงเงินไปงวดต่อไปทันที
ที่จริงแล้วการวางบิลเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ไม่มีความจำเป็นเลย บริษัทไม่รู้หรือไงว่าแต่ละเดือนตัวเองสั่งซื้อสินค้าอะไรไปบ้าง ทำไมยังจะต้องให้ซัพพลายเออร์สรุปให้อีก ถ้าไม่ต้องมีการวางบิล จำนวนรถของ messenger ในท้องถนนน่าจะหายไปหลายล้านเที่ยวต่อเดือน จำนวนกระดาษที่ใช้ทำใบแจ้งหนี้น่าจะหลายไปหลายตันต่อเดือน ต้นทุนการทำธุรกิจของทุกบริษัทจะลดลง ผลิตภาพของประเทศจะสูงขึ้น แถมยังช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกมหาศาล
สมัยนี้มีหลายบริษัทที่มีวัฒนธรรมการบริหารแบบสมัยใหม่หันมายกเลิกระบบวางบิลไปแล้ว เมื่อถึงเวลาชำระเงินก็จะโอนเงินเข้าบัญชีซัพพลายเออร์ให้เลยไม่ตุกติก บริษัทสมัยใหม่เหล่านี้เห็นว่าการลดต้นทุนการวางบิลให้กับซัพพลายเออร์คือการลดต้นทุนให้กับห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบ บริษัทเองก็ได้รับประโยชน์ทางอ้อมไปด้วยเพราะทำให้ห่วงโซ่อุปทานที่บริษัทเป็นส่วนหนึ่งมีต้นทุนต่ำกว่าห่วงโซ่อุปทานที่คู่แข่งของบริษัทอยู่ บริษัทเหล่านี้มองความสามารถในการแข่งขันของทั้งห่วงโซ่ ไม่ได้มองแค่ตัวบริษัทอย่างเดียว (firms do not compete; supply chain competes.) บริษัทสมัยใหม่มองว่าการดึงเงินเป็นการบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับซัพพลายเออร์แม้จะได้ดอกเบี้ยมาก็ไม่คุ้ม
ผมว่าบริษัทที่ยังวางบิลอยู่น่าจะเลิกๆ กันได้แล้ว หรือถ้ากลัวเสียเหลี่ยมซัพพลายเออร์ รัฐบาลน่าจะยื่นมือมาช่วยรักษาหน้าด้วยการประกาศให้การเลิกวางบิลเป็น “วาระแห่งชาติ” ประกาศไปเลยให้การวางบิลเป็นสิ่งที่ผิดกฏหมาย บริษัทจะได้เลิกวางบิลได้โดยไม่เสียฟอร์ม ต้นทุนการทำธุรกิจของทั้งประเทศก็จะได้ลดลง
ถาม การวางบิล ทำไม แต่ละบริษัท ถึงต้องกำหนดวันการวางบิล เป็นวันนั้นวันนี้ด้วยครับ เช่น กำหนด วางบิล ทุกวัน พุธ หรือ ทุกวันที่ 15 ทำไมถึงต้องทำเช่นนั้น แล้ว การวางบิล นี่คือการเรียกเก็บเงิน ทำไม ให้เขามาวางก่อนไม่ได้ครับ
เช่น งบบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินทุกวันที่ 15 ของเดือน พอถึงวันที่ 16 ก็จะรวบรวมบิลของลูกค้า จากวันที่ 16 ของเดือนที่แล้ว มาจนถึงวันที่ 15 ของเดือนนี้ ว่าลูกค้าแต่ละรายเป็นหนี้เท่าไหร่ ในระหว่างที่งบ หากลูกค้ายังสั่งสินค้าเข้ามา ก็ต้องส่ง แต่จะออกบิลและรวบรวมไว้เรียกเก็บในเดือนถัดไปครับ
ผมเข้าใจอย่างนี้ ไม่แน่ใจว่าตรงตามที่ถามหรือไม่
ส่วนตัวไม่เห็นด้วยและไม่ค่อยพอใจนักกะบริษัทฯที่กำหนดแบบไม่ให้เราได้หายใจเลย เช่น มีบริษัทหนึ่งมีข้อกำหนดอย่างนี้
1. ให้วางบิลได้ทุกวันพุธ 10.00 ถึง 12.00
2. เก็บเช็คได้ วันศุกร์ที่ 1 และ ที่ 3 ของเดือน เวลา 14.00 ถึง 16.00 ถ้าเดือนไหนวันที่ 1 ตรงกับวันพุธ วันศุกร์แรกไม่นับ ให้นับศุกร์ต่อไปเป็นศุกร์ที่ 1
นี่แค่ตัวอย่าง บริษัทฯ เดียว เราต้องเจอเงื่อนไขต่างๆกันของแต่ละบริษัทฯ กว่าจะได้เช็คมาแต่ละใบ บางที่ late เป็นเดือน จะจ้างพนักงานเก็บเงินโดยเฉพาะก็ไม่คุ้ม
มักจะมีรูปแบบหรือระเบียบคล้ายกันบ้าง บางแห่งก็ไม่เคร่งครัดมาก บางแห่งก็ออกจะเอาเปรียบเราสักหน่อย
การจัดระบบการวางบิล เป็นการสร้างความสะดวกให้กับทั้งพนักงานของบริษัท ที่สามารถเคลียร์งานได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น เนื่องจากหน้าที่รับวางบิลจะอยู่ในความรับผิดชอบของพนักงานบัญชีเสียส่วนใหญ่ งานหลัก ๆ ก็มีเยอะอยู่แล้ว ดังนั้น จึงจำเป็นต้องกำหนดวันวางบิลที่ชัดเจน เพื่อที่งานต่าง ๆ จะได้เป็นระเบียบยิ่งขึ้น
กำหนดการรับเช็คก็เช่นเดียวกันครับ เหตุผลคล้าย ๆ กับการวางบิลนั่นแหละ
ข้อดี ก็มีหลายด้าน ทั้งตัวคนวางบิลเองและคนที่รับวางบิลด้วยครับ
แต่ข้อเสียก็มีนะครับ ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทเค้ามีระเบียบแบบใด
ตัวอย่างที่ไม่ดีก็อย่างเช่น
รับวางบิลทุกวันศุกร์ หรือช่วงอาทิตย์แรกของเดือนเท่านั้น
แต่รับเช็คทุกวันศุกร์ เวลาบ่าย 2 ถึง 4 โมงเย็น ซึ่งถ้าพิจารณาจากวันและเวลาในการรับเช็คแล้ว เราไม่สามารถนำเช็คเข้าเคลียร์ริ่งได้ทันนั่นเองครับ ทำให้ได้รับเงินช้าไปอีกหลายวัน ทั้งนี้เป็นเทคนิคที่บริษัทบางแห่งใช้ครับ
อย่างไรก็มีตัวอย่างที่ดีมากมาย แต่ไม่ขอกล่าวถึงนะครับ
เดี๋ยวเจ้าโน้นมา เดี๋ยวเจ้านี้มา แต่กำหนดเวลา แคบเกินไป
บางทีคนเยอะวางไม่ทัน หรือเป้นกลเม็ด ยืด จ่ายเช็คออกไป
ให้วางบิลได้ทุกวันที่ 3 ของเดือน ตั้งแต่เวลา 24:00 - 00:01 ถ้าวันที่ 3 ของเดือนตรงกับวันหยุดราชการ ให้ วางบิลในเดือนถัดไป
แล้วถ้าจะให้จ่ายเงินเลยเนี่ย...ถ้าสินค้าหรือบริการของคุณมีปัญหาเลยหล่ะ...หรือเอกสารที่คุณเอามาเก็บเงิของคุณไม่เรียบร้อยหล่ะ...ใครจะรับผิดฃอบ...อีกอย่างการวางบิอก็คือการการจ่ายตาม Credit Term ที่ได้ตกลงกัน....ถ้าจะเอาเงินเลย...จะมีCredit term ไปทำไม.....
จริงๆมันเป็นผลดีกับทั้ง 2ฝ่ายนะ....จะได้กำหนดเวลาได้ทั้งสองฝ่าย....
หลังจากที่คุยรายละเอียดว่าลูกค้าต้องการอะไรจากเรา
เราก็บอกไปว่า เดี๋ยวผมส่งใบเสนอราคาไปนะครับ
ซึ่งในใบเสนอราคานั้น ก็จะประกอบไปด้วย ชื่อที่อยู่ของเราหรือบริษัทเรา และ ของคนหรือบริษัทที่เราจะเอาเงินเค้าโดยเราจะต้องขอจากทางเค้าเอง
รายละเอียดต่างๆที่เกี่ยวกับงานนั้น เช่น ชื่องาน ถ่ายที่ไหน วันถ่ายเมื่อไหร่
รายละเอียดอุปกรณ์ หลังจากที่คุยรายละเอียดเราก็จะรู้ว่างานนี้เราจะใช้อะไรบ้าง ใส่ไปเลยครับ อยากใส่อะไรให้มันดูเยอะๆมากมายแต่ไม่เว่อร์นะครับ
เงื่อนไขเกี่ยวกับการเงิน ถ่ายเสร็จแล้วจะรับเงินสดทั้งก้อน หรือแบ่งกี่ % หรือวางบิล ซึ่งควรคุยกันหลังจากทราบรายละเอียดให้แน่ใจก่อนที่จะมาสรุปตรงนี้นะครับ
ลายเซ็นผู้อนุมัติ (ลูกค้า/คนจ้าง/คนจ่ายตัง) ลายเซ็นผู้เสนอราคา(ผู้รับจ้าง/คนโดนจ้าง)
หลังจากที่ส่งใบเสนอราคาไปแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตารอกันไปนะครับ
หายเงียบไปก็มี โทรไปถามไม่รับสายก็เคยมี
โทรมาบอกว่าแพงไปอันนี้บ่อย แสดงเค้าเปิดทางให้เราต้องรีบเจรจา แพงตรงไหนอะไรยังไง
หรือลองบอกงานคร่าวมาให้ผมฟังหน่อย เพื่อผมจะได้จัดของให้เหมาะกับงานของพี่ บลาบลาๆๆๆ ก็ว่ากันไป
ทั้งๆที่ราคาเราก็บวกไปเวอร์อยู่แล้ว
ถ้าสรุปว่าจ้างกัน ถ้าจะเอาซีเรียสกันจริงๆก็ต้องเซ็นชื่อแล้วก็สแกนส่งเมล์กันเบื้องต้น
วันถ่ายงานก็เอาไปจริงไปล่าลายเซ็นเพื่อความสบายใจ เพราะมีเอกสารที่จับต้องได้ล่ะ
ในวันที่ถ่ายงานจริงควรจะมีใบส่งของมาให้คุณลูกค้าที่เคารพเช็คพร้อมเซ็นรับทราบด้วยว่าเราเอาของมาครบตามที่เราเสนอราคาไปมั้ย
เพราะมันเป็นหลักฐานในวันที่เราไปวางบิลครับว่าเราเอาของมาทำงานตามที่ท่านจ่ายเงินมา
และก็มาถึงขั้นตอนที่จะใช้ใบวางบิลกันแล้วครับ
ก่อนอื่นเราต้องขอระเบียบการ วางบิล/รับเช็ค ของบริษัทที่เราจะไปเอาเงินเค้า
ซึ่งบางที่ไม่เท่ากัน เช่น
วางบิลทุกศุกร์สุดท้ายของเดือน 14.00-16.00
วางบิลได้ทุกวันพุธ13.00-17.00
วางบิลได้ตั้งวันที่ 25-31
อะไรก็แล้วแต่เค้าจะตั้งระเบียบการนี้ขึ้นมา โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของเค้าเป็นอับดับแรก
ใบวางบิลเราก็เอามาจากใบเสนอราคานั่นล่ะ แนบวางพร้องใบส่งของที่มีลายเซ็นลูกค้าในวันที่ออกกอง
แค่เปลี่ยนคำว่า ใบเสนอราคา / ใบส่งของ / ใบวางบิล / ใบเสร็จรับเงิน ด้วยโปรแกรมที่เราสร้างมันขึ้นมา รายละเอียดและองค์ประกอบทุกอย่างให้คงเดิมไว้
ถ้าทำงานกับบริษัทถ้า รายจ่ายเกินหลักหมื่นส่วนมากจะโดน 60 วัน แต่ทุกอย่างเจรจาได้ครับ แต่ต้องเจรจากันในขั้นตอนที่เสนอราคานะครับอย่าลืม
หลังจากวางบิลจะได้เอกสารกลับมา ให้เก็บไว้ดีๆ อย่าให้หาย หายไปเรื่องใหญ่ อดได้ค่าแรงไม่รู้นะ
และก็มาถึงวันที่เช็คจะออก
ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นแบบนี้ครับ
วันศุกร์สิ้นเดือน ช่วงเวลาหลังเที่ยง 14.00-16.00
สองชั่วโมงทองคำเท่านั้นถ้าพลาด รอรอบเดือนใหม่เลยนะครับ
เคยโดนมาแล้ว แรกๆก็ไม่เข้าใจ
นึกขึ้นได้ในอาทิตย์ต่อมา วิ่งไปขอเช็ค ฝ่ายบัญชีลูกค้าบอกว่า จ่ายให้ไม่ได้ ไม่ใช่วันจ่าย
ทำไมวะ เช็คกู เงินกู มันก็อยู่ในห้องบัญชี เดินไปหยิบมาให้ง่ายๆแค่นี้ไม่ได้หรอวะ
สรุปก็ไม่ได้อยู่ดี
ถ้าบุคคลธรรมดาก็เอาสำเนาบัตรพร้อมใบที่เค้าให้มาไปรับ
ถ้าให้คนอื่นไปรับ ต้องเขียนกำกับในสำเนาบัตรทั้งของเราและของคนที่ไปรับแทนว่าเราอนุญาตให้คนนั้นไปรับเช็คแทน
ถ้า บจก หจก ใครก็ได้ ถือใบเสร็จรับเงินจาก บจก หจก ของเราและก็เอกสารที่เค้าให้มา ไปให้เค้าแล้วเซ็นแกร๊กเดียว
ความน่าเบื่อของวันรับเช็คคือ
ในช่วงเวลานั้นจะเต็มไปด้วย เมสเซนเจอร์หลายคนมาก
คิวยาว วุ่นวาย ยืนเขียนนู่นเขียนนี่ วุ่นวายอ่ะ
แล้วถ้ารีบใช้เงินก็อย่าหวังว่าจะเอาเช็คไปขึ้นเงินทันนะครับ
วันศุกร์เราได้เช็คเวลา 15.00 น.
ถ้าออฟฟิตที่ไปรับเช็คมันมีธนาคารตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็มีลุ้นหน่อยว่าจะขึ้นเงินทัน
นั่นในกรณีที่เราบัญชีธนาคารเดียวกันกับเช็คใบนั้นนะครับ
ถ้าไม่ทันก็รอวันจันทร์
ถ้าคนละธนาคารก็รอเรียกเก็บอีกสองวัน
หรือใครใจร้อนก็เปิดบัญชีใหม่ซะ ธนาคารได้ตังส์อีก
จริงแล้วมันเป็นความตั้งใจของออฟฟิตทุกที่ครับที่จ่ายเช็คในวันศุกร์โดยให้เวลารับเช็คช่วงสั้นๆ
เพราะถ้าใครพลาดขึ้นเงินไม่ทัน เงินก็อยู่ในบัญชีนานขึ้น เวลาแค่นั้นก็มีค่านะครับ
ใบหัก ณ ที่จ่าย
จะเป็นเอกสารอีกชุดที่เราจะได้มาพร้อมกับเงินสด หรือ เช็คที่เราไปรับ
รวบรวมเก็บไว้ให้ครบทุกใบ ไม่หายจะดีมาก
เพราะเราต้องยื่นให้สรรพากรแสดงรายได้ครับ
บริษัทที่จ้างเราก็จะบอกสรรพากรว่า เค้าจ่ายเงินให้ใครบ้าง
สรรพากรจะรู้ว่า เรามีรายได้จากที่ไหนบ้าง จากใบหัก ณ ที่จ่าย
จะมีรอบวันที่ยื่นแบบอยู่ ลองหาข้อมูลดูนะครับ
ถ้ารายรับเราไม่ถึงขอบเขตที่จะเสียภาษี เราก็จะได้คืนครับ
ใครไม่เคยยื่นก็เริ่มซะ เงินของเราอย่าทิ้ง ช่วงที่ผมเป็นฟรีแลนซ์ผมได้คืนปีล่ะ 4-5 พันบาท
ในกรณีที่เรามีทีมงาน
ถ้าเราเป็นบุคคลธรรมดาเรามีสิทธิหักภาษีทีมงานนะครับ แต่ไม่มีสิทธิออกใบหัก ณ ที่จ่าย
ก็ขึ้นอยู่ว่าเราตกลงกับทีมงานยังไง
รายได้ของทีมงานที่คุณจ่ายก็จะเป็นรายได้เถื่อน ไม่มีหลักฐาน
แต่ผู้ที่ไปรับงานมาก็จะมีปัญหาเรื่องรายได้บุคลธรรมดาอีก
แต่ถ้าเป็น บจก หรือ หจก
หัก ณ ที่จ่ายได้ครับ ออกใบหัก ณ ที่จ่ายได้
รุ่นพี่ผมคนนึง สะสมใบหัก ณ ที่จ่าย เอาไปกู้แบงค์ซื้อบ้านได้มาแล้วครับ